ฤดูกาล 2020/21 ของ โอเอช ลูเวิน เป็นฤดูกาลที่มีผู้เล่นหลากหลายทำงานร่วมกัน ทั้งผู้เล่นชุดเดิมที่ช่วยกันพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมา และบรรดาผู้เล่นหน้าใหม่ซึ่งตบเท้าเข้าสู่ทีมเป็นฤดูกาลแรก
การละลายพฤติกรรมในความหลากหลายทางเชื้อชาติเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยในฟุตบอลเบลเยี่ยมรวมถึงหลายลีกในยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างทีมที่ดีที่สุด
นักเตะเบลเยี่ยมเองรวมทั้งผู้เล่นจากยุโรปอาจจะได้เปรียบเรื่องความแข็งแกร่งของสภาพร่างกาย ความเคยชินกับสภาพอากาศ สภาพแวดล้อม รวมถึงความเข้าใจในระบบและวิธีการเล่นที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า
ทว่าในด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็น เทคนิคฟุตบอล ลูกเล่น ความเร็ว หรือแม้กระทั่งพรสวรรค์ ซึ่งบางครั้งผู้เล่นคุณภาพจากอเมริกาใต้ แอฟริกา หรือทวีปอื่นๆกลับมีจุดแข็งด้านนี้ที่โดดเด่นกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เล่นมากมายจากทวีปต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาเพื่อเติมเต็มฟุตบอลลีกยุโรป ซึ่งมีจุดแข็งเรื่องมาตรฐานฟุตบอลและความนิยมของคนทั่วโลก
ฤดูกาลนี้ในทีมชุดใหญ่ของ โอเอช ลูเวิน มีนักเตะมากถึง 15 สัญชาติ ทั้งผู้เล่นชาวเบลเยี่ยมเอง ผู้เล่นจากยุโรป(ฝรั่งเศส, เยอรมัน, บัลแกเรีย, โครเอเชีย, ฮังการี, เช็ก, เวลส์) อเมริกาใต้(เวเนซูเอล่า) แอฟริกา(เบนิน,กานา, บูร์กินาฟาโซ,ไอวอรี่โคสต์) และเอเชีย (ไทย, จอร์แดน)
แม้ว่าผู้เล่นตัวหลักของทีมส่วนใหญ่ยังเป็นนักเตะยุโรป แต่ก็มีผู้เล่นที่เริ่มสอดแทรกเข้ามาได้น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น มูซ่า ทามารี ปีกทีมชาติจอร์แดนที่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงต่อเนื่องในช่วงหลัง
มูซ่า ทามารี เพิ่งย้ายมาเล่นกับ โอเอช ลูเวิน เป็นฤดูกาลแรก ถือเป็นผู้เล่นเอเชียคนที่ 2 ต่อ จาก กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่เข้ามาเล่นในถิ่น “คิง เพาเวอร์ แอท เดน ดรีฟ”
ดาวเตะจอร์แดนเป็นผู้เล่นที่มีจุดเด่นในเรื่องความเร็วและจังหวะลากเลื้ิอยที่อันตราย แต่ปัญหาในช่วงก่อนหน้านี้คือการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมและจังหวะการยิงประตูที่ยังทำได้ไม่ดีนัก จนมีช่วงที่หลุดจากทีมไปพักนึงแบบไม่มีชื่อแม้กระทั่งตัวสำรอง
หลังจากที่หลุดจากทีม ทามารี ก็เริ่มปรับการเล่นของตัวเอง ทั้งการออกบอลที่ง่ายขึ้น ไม่ฝืนครองบอลไว้กับตัวนานเกินไป เล่นเพื่อทีมมากกว่าเดิม จนกระทั่งเริ่มกลับมามีส่วนร่วมในทีมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้ลงสนามเป็นตัวจริงใน 3 นัดหลังสุุด เท่านั้นยังไม่พอ กองกลางจอมพลิ้วยังประเดิมประตูแรกใน จูปิแลร์ โปรลีก ได้สำเร็จ ด้วยลูกยิงไกลสุดสวยในเกมกับ รอยัล อันท์เวิร์ป ถือเป็นการแจ้งเกิดของดาวเตะเอเชียรายนี้ในฟุตบอลลีกของเบลเยี่ยมอย่างเป็นทางการ
ยังไม่รวม กองหลังดาวรุ่งอย่าง หลุยส์ พาทริส ซึ่งในเกมเดียวกันนี้ได้โอกาสออกสตาร์ทป็น 11 คนแรก และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ถือเป็นการประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกของนักเตะวัย 19 ปี ชนิดที่เบียดแนวรับรุ่นพี่ในทีมหลุดเป็นตัวสำรองทั้ง ดีล็อง อูเดราโก้ และ ฟิลิป เบนโควิช
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คนที่มีส่วนในการตัดสินใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น กุนซืออย่าง มาร์ค บรีส์ ที่เปิดกว้างและพร้อมให้โอกาสผู้เล่นทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเตะสัญชาติไหน ประสบการณ์มากหรือน้อย ถ้าทำผลงานได้ดีก็สามารถเป็นตัวจริงของทีมได้ จุดนี้เป็นการสร้างการแข่งขันและแรงจูงใจภายในทีมที่ดีไม่น้อย
กับ 5 เกมที่เหลือของฤดูกาล ดูจากแนวโน้มและสถานการณ์ในตารางคะแนน ก็มีโอกาสไม่น้อยที่เฮดโค้ชวัย 58 ปี จะพาทีมมีลุ้นไปจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลได้ โดยที่เป้าหมายสูงสุดในตอนนี้แน่นอนว่าคือการพาทีมติด 4 อันดับแรกเพื่อไปสู้ต่อในรอบเพลย์ออฟลุ้นแชมป์ลีกของเบลเยี่ยมต่อไป